วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บริการบนอินเทอร์เน็ต


                                               

  บริการบนอินเทอร์เน็ต


1.ปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail)

     สาระสำคัญ
ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นวิธีการติดต่อสื่อสารที่เกิดจากการเชื่อมต่อ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่นิยมใช้วิธีหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะมีข้อดีแล้ว
ยังมีข้อจำกัดบางอย่างที่ควรศึกษาก่อน การใช้งาน เพื่อให้สามารถตัดสินใจและใช้งานได้อย่างถูกต้อง                                                                               ความสำคัญและความหมายของไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารอย่างหนึ่งที่เกิดจากการเชื่อมต่อ
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ นิยมเรียกสั้นๆ ว่า อีเมล์ มาจากภาษาอังกฤษคำว่า อิเล็กทรอนิกส์เมล์
(E-MAIL = ELECTRONIC MAIL) หรือเรียกว่า จดหมายอิเล็กทรอนิกส์
มีลักษณะการรับและส่งข้อมูลเหมือนกับการติดต่อสื่อสารประเภทจดหมาย คือ มีการพิมพ์
ข้อความผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วแปลงเป็นสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์แทนการเขียนข้อความลงในกระดาษ
แล้วใช้การส่งข้อมูลผ่านทางระบบเครือข่ายจากเครื่องคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยัง เครื่องคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งแทนการส่งจดหมายผ่านทางไปรษณีย์

ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ยังสามารถใช้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายในบริษัทหรือสำนักงานโดยใช้โปรแกรมไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ที่สร้าง
ขึ้นเพื่อใช้เฉพาะภาย ในบริษัทหรือสำนักงาน ซึ่งจะเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือไม่ก็ได้

        ที่อยู่ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์

ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นบริการอย่างหนึ่ง ของระบบเครือข่ายซึ่งนิยมใช้กันมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มบุคคลที่ใช้อินเทอร์เน็ต
เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์จะมีไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นของตนเองด้วยเหตุนี้ผู้ใช้บริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์จึงต้องมีที่อยู่ของตนเอง
และรู้ที่อยู่ของบุคคลที่ต้องการติดต่อสื่อสาร

เมื่อต้องการใช้บริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ผู้ใช้ต้องสมัครหรือลงทะเบียนกับเว็บไซต์ที่ให้บริการ
เพื่อจะได้ที่อยู่สำหรับติดต่อทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เรียกว่า อีเมล์แอดเดรส (E-MAIL ADDRESS) ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 4 ส่วน คือ ชื่อ แอท
โดเมนเนม และรหัส

•ชื่อหรือยูเซอร์เนม (USER NAME) คือ ชื่อของสมาชิกที่ใช้สมัครหรือลงทะเบียน อาจเป็นชื่อจริง ชื่อเล่น ชื่อบริษัท หรือชื่อสมมุติก็ได้
•แอท คือ เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ มีลักษณะเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวเอที่มีวงกลมล้อมรอบ @ ซึ่งมาจาก แอทซาย (AT SING)
ในภาษาอังกฤษ
• โดเมนเนม (DOMAIN NAME) คือ ที่อยู่หรือชื่อของเว็บไซต์ที่ให้บริการทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ที่สมัครเป็นสมาชิกไว้
เพื่ออ้างเมล์เซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการ
• รหัส คือ 
ข้อมูลบอกประเภทขององค์กรและประเทศของเว็บไซต์ที่ให้บริการทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น .COM หมายถึง
องค์การธุรกิจการค้า หรือ .CO.TH หมายถึง องค์การธุรกิจการค้าในประเทศไทย เป็นต้น

       ข้อดีและข้อจำกัดของไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
ข้อดีของไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
• ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย มากกว่าการติดต่อสื่อสารด้วยประเภทอื่นๆ เนื่องจากสามารถรับหรือส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
•สามารถส่งข้อมูลในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น ข้อมูลตัวอักษร ภาพ เสียง และภาพเคลื่อนไหว
• ไม่จำกัดเวลา ระยะทาง หรือสถานที่ในการติดต่อสื่อสาร
ผู้ใช้สามารถเลือกใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ในเวลาและสถานที่ใดก็ได้เพียงแต่ต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อระบบเครือข่ายกับ
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการส่งหรือรับข้อมูลนั้น
• ไม่จำเป็นต้องเปิดหรือใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ตลอดเวลาเพื่อรอรับข้อมูล เนื่องจากข้อมูลที่ได้รับจะถูกเก็บไว้ในเมล์เซิร์ฟเวอร์
เมื่อผู้ใช้ต้องการดูข้อมูลก็เพียงเชื่อมโยงไปยังเมล์เซิร์ฟเวอร์นั้น
• ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ในการติดต่อสื่อสาร ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องเดิม
• สามารถส่งเมล์ไปหาผู้รับได้หลายคนพร้อมๆ กัน ในกรณีที่ข้อมูลที่ต้องการส่งเป็นข้อมูลเดียวกัน เช่น ข้อมูลแจ้งกำหนดการประชุม
กฎระเบียบในการใช้ห้องคอมพิวเตอร์ ผู้ส่งสามารถส่งข้อมูลได้ทีละหลายๆ คนในครั้งเดียว ไม่จำเป็นต้องส่งข้อมูลไปทีละคน
• เก็บข้อมูลที่ส่งได้ตามความต้องการ โดยอาจเก็บไว้ในเมล์เซิร์ฟเวอร์นั้นๆ หรือดาวน์โหลดมาไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเอง
• ข้อมูลที่ได้มีความเป็นส่วนตัว เนื่องจากผู้ใช้จะมีรหัสส่วนตัวในการใช้บริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
• ผู้รับสามารถนำข้อมูลที่ได้มาแก้ไขหรือนำข้อมูลนั้นไปใช้ต่อได้ ไม่ต้องพิมพ์ข้อมูลนั้นใหม่
โดยข้อมูลที่ได้รับทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์สามารถนำมาจัดทำในรูปแบบเอกสารสิ่งพิมพ ์
• มีการแจ้งรายละเอียดและบันทึกข้อมูลได้ตามความต้องการของผู้ใช้ เช่น จำนวนข้อมูลทั้งหมด ข้อมูลใดที่เปิดใช้งานแล้วหรือยัง
ไม่ได้เปิดใช้งาน ใครเป็นผู้ส่ง และส่งข้อมูลมาในเวลาใด

 2. การสื่อสารในเวลาจริง  ( REAL TIME COMMUNICATION )

การสื่อสารในเวลาจริง (REAL TIME COMMUNICATION)

เป็นการสื่อสารระหว่างบุคคลที่สามารถโต้ตอบกลับได้ทันทีผ่านเครือข่ายการสื่อสาร สามารถส่งเป็นข้อความภาพ ภาพเคลื่อนไหว เสียง ไปยังผู้รับ ในการสื่อสารนี้ผู้ใช้จะต้องเช้าใช้ระบบในเวลาเดียวกันและข้อความจะถูกส่งจากผู้ใช้คนหนึ่งไปยังผู้ใช้ทุกคนในกลุ่มได้ ตัวอย่างการสื่อสารในเวลาจริง เช่น การแชท ห้องคุย และวอยซ์โอเวอร์ไอพี

                แชท (CHAT)

เป็นการสนทนาผ่านอินเทอร์เน็ต ทั้งระหว่างบุคคล 2 คน หรือ ระหว่างกลุ่มบุคคล โดยอาศัยโปรแกรมประยุกต์ เช่น WINDOWS LIVEและ YAHOO MESSENGER

                ห้องคุย (CHAT ROOM

เป็นการสนทนาที่ผู้ใช้สามารถเลือกประเภทของหัวข้อที่สนใจซึ่งแบ่งไว้เป็นห้องต่างๆ เพื่อพูดคุยกันระหว่างบุคคลหรือกลุ่ม การสนทนารูปแบบนี้อำนวยความสะดวก เพิ่มประสิทธิภาพ และช่วยประหยัดเวลาในการสื่อสารข้อความไปยังบุคคลต่างๆ โดยอาจสื่อสารในรูปข้อความ การแบ่งปันไฟล์ หรือ การใช้เว็บแคมควบคู่กันไประหว่างการสื่อสาร

             วอยซ์โอเวอร์ไอพี  หรือวีดีโอไอพี (VOICE OVER IP: VOIP)

เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอินเทอร์เน็ตเทเลโฟนี (INTERNET TELEPHONY) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถคุยกับผู้อื่นผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยวอยซ์เวอร์ไอพีใช้ อินเทอร์เน็ตในการเชื่อมต่อเข้ากับคู่สนทนาที่อาจอยู่ในพื้นที่เดียวกัน หรือพื้นที่ที่ห่างไกลออกไป โดยเสียงของผู้พูดจะถูกแปลงให้อยู่ในรูปสัญญาณดิจิทัลแล้วส่งผ่านอินเทอร์ เน็ตไปถึงผู้รับปลายทาง

 

 

 

3. เว็บไซต์เครือข่ายทางสังคม (SOCIAL  NETWORKING  WEB  SITES ) 

 

 ประวัติความเป็นมา             จุด เริ่มต้นของสังคมออนไลน์เกิดขึ้นจากเว็บไซต์ CLASSMATES.COM เมื่อปี 1995 และเว็บไซต์ SIXDEGREES.COM ในปี 1997 ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่จำกัดการใช้งานเฉพาะนักเรียนที่เรียนในโรงเรียนเดียวกัน เพื่อสร้างประวัติ ข้อมูลการสื่อสาร ส่งข้อความ และแลกเปลี่ยนข้อมูลที่สนใจร่วมกันระหว่างเพื่อนนักเรียนในลิสต์เท่านั้น ต่อมาในปี 1999 เว็บไซต์ EPINIONS.COM ที่พัฒนาโดย JONATHAN BISHOP ก็ได้มีการเพิ่มฟังก์ชั่นในส่วนของการที่ผู้ใช้สามารถควบคุมเนื้อหาและ ติดต่อถึงกันได้ ไม่เพียงแต่เพื่อนในรายชื่อเท่านั้น


ความหมาย 
            เว็บไซต์ เครือข่ายทางสังคม (SOCIAL NETWORKING WEB SITES) เป็นชุมชนออนไลน์ที่สมาชิกในชุมชนมีสัมพันธ์ระหว่างกัน โดยมีเป้าหมายในการเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างผู้ใช้ โดยอาจเชื่อมโยงผ่านกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่ผู้ใช้มีความสนใจร่วมกัน เช่น การแบ่งปันวิดีทัศน์ การเล่าสู่กันฟังถึงประสบการณ์ที่ได้รับ การแสดงความรู้สึกหรือความคิดเห็น การทำความรู้จักกัน การมีส่วนร่วมในการอภิปราย และการรวมกลุ่ม เพื่อทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์ หรือใช้ข้อมูลทั่วไป ข้อมูลเชิงวิชาการ ข้อมูลในการประกอบอาชีพ ตัวอย่างเว็บไซต์เครือข่ายทางสังคม เช่น FACEBOOK, TWITTER, LINKEDIN, HI5 และ WIKI เป็นต้น


ขนิดของเว็บไซต์เครือข่ายทางสังคม 
            บริการ เครือข่ายสังคม (SOCIAL NETWORK SERVICE) เป็นรูปแบบเว็บไซต์ ในการสร้างเครือข่ายสำหรับผู้ใช้งานในอินเทอร์เน็ต เขียนและอธิบายความสนใจ และกิจการที่ได้ทำ และเชื่อมโยงกับความสนใจและกิจกรรมของผู้อื่น ในบริการเครือข่ายสังคมมักจะประกอบไปด้วยการแชท ส่งข้อความ ส่งอีเมล์ วีดีโอ เพลง อัพโหลดรูป บล็อก ซึ่งสามารถจำแนกได้เป็น 7 กลุ่มดังนี้            1. PUBLISH การเผยแพร่ข้อมูล เอกสาร หรือบทความ
            2. SHARE การแบ่งปันข้อมูล รูปภาพหรือความรู้
            3. DISCUSS สังคมในการระดมความคิด
            4. COMMERCE เครือข่ายสังคมที่เกี่ยวกับธุรกิจ
            5. LOCATION การแบ่งปันสถานที่ที่น่าสนใจ
            6. NETWORK เครือข่ายเพื่อน ธุรกิจ งาน
            7. GAME เครือข่ายเกมส์

หลักการทำงานของ SOCIAL NETWORK

 

 


     เครือข่ายสังคมออนไลน์ SOCIAL NETWORK ประกอบด้วย
            1. NODE หน่วยย่อยหรือบุคคลทั่วไปเป็นสมาชิกคนหนึ่งของเครือข่ายที่ต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับคลอื่น
            2. HUB ผู้เป็นศูนย์กลางของ NODE มักทำหน้าที่เป็นผู้รับ-ส่งข่าวสารต่างๆ จาก NODE ภายในกลุ่มแล้วกระจายข่าวสารที่ได้รับมาส่งต่อให้กับบุคคลอื่นหรือระหว่าง กลุ่มก็ได้ มักเป็นผู้ชอบศึกษาเรียนรู้ตลอดเวลา มีมนุษยสัมพันธ์ดี เป็นที่ไว้วางใจ น่าเชื่อถือ คนที่ทำตัวเป็น HUB นั้นเมื่อทำหน้าที่ได้ดีเป็นที่ไว้วางใจจากบุคคลทั่วไปในกลุ่มก็จะกลายเป็น ผู้เชื่อมต่อ (CONNECTOR) ไปด้วย เป็นนักประสานผลประโยชน์ นอกจากนี้ยังเป็นนักขายได้อีกด้วย
            การขยายตัวของเครือข่ายทางสังคมได้อย่างมากมายและรวดเร็วนั้น มาจาก
                        
1.) WORDS OF MOUTH ปากต่อปาก ดึงกันเข้ามาในเครือข่าย กลุ่มเพื่อนกัน สถาบันเดียวกัน ที่ทำงานเดียวกัน รุ่นเดียวกัน เป็นต้น
                        2.) การใช้โปรแกรมซอร์ฟแวร์อัตโนมัติ เมื่อเพื่อนเราคนหนึ่งเกิดเป็นสมาชิกในเครือข่ายทางสังคมแล้วเจ้าโปรแกรมที่ ว่านี้จะคัดลอก (เอง) รายชื่อที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ (CONTACT LIST) ของเพื่อนเรา ซึ่งจะมีอีเมลเราและคนอื่นๆแล้วกระจายมาให้เราและคนอื่นๆ เพื่อชักชวนให้สมัครเป็นสมาชิก(เหมือนเพื่อนเรา) เป็นกลยุทธที่แยบยลมากๆ ทำให้เครือข่ายขยายได้รวดเร็วและไม่มีที่สิ้นสุด

ตัวอย่าง SOCIAL NETWORK

 

 

 
สถิติของเครือข่ายสังคมออนไลน์ 
            แนวโน้มของการใช้ SOCIAL NETWORK ในปี 2012            ● โซ เชียลเน็ตเวิร์คกลายเป็นกิจกรรมที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตให้เวลามากที่สุด คิดเป็น 19% หรือประมาณ 1 ใน 5 ของเวลาที่ผู้ใช้เน็ตล็อกอินเข้าสู่โลกออนไลน์ 
            ● FACEBOOK เป็นผู้นำสำคัญในทุกๆ เรื่องของโซเชียลเน็ตเวิร์ค ในปี 2012 FACEBOOK มีผู้ใช้เกินครึ่งของประชากรอินเทอร์เน็ตโลก โดยเฉลี่ยแล้วผู้ใช้อินเทอร์เน็ตใช้งาน FACEBOOK คิดเป็นเวลา 3/4 ของเวลาที่ใช้กับโซเชียลเน็ตเวิร์คทุกชนิด 
            ● โซ เชียลเน็ตเวิร์ค ไม่ใช่เป็นแค่โลกของคนรุ่นใหม่เท่านั้น ในรอบปีหลัง เราจะเห็นคนวัยทำงานเริ่มเข้ามาและยังมีกลุ่มผู้สูงอายุที่เข้ามาใช้ งานอย่างมีนัยยะสำคัญ สถิติที่น่าสนใจ คือ ประชากรผู้ใช้เน็ตกลุ่มที่มีอายุมากกว่า 55 ปีขึ้นไป ในหลายๆ ประเทศมีสัดส่วนการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คที่สูงมาก เช่น ในสหรัฐฯ ประชากรผู้ใช้เน็ตที่อายุเกิน 55 ปี จำนวนถึง 94.7% 
            ● ตอน นี้ชัดเจนแล้วว่า FACEBOOK เป็นราชาแห่งโลกโซเชียลเน็ตเวิร์คเต็มตัว สามารถเอาชนะคู่แข่งอื่นๆ และผงาดขึ้นมาเป็นแชมป์แบบทิ้งห่าง แต่ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีเว็บไซต์หรือโซเชียลเน็ตเวิร์ครายไหนเจริญรอย ตาม FACEBOOK ได้แบบเดียวกันบ้าง ปี 2011 ยังเป็นปีที่เราได้เห็นการเปิดตัว GOOGLE+ ของกูเกิล ซึ่งมาแรงในช่วงแรก และมียอดสมาชิกแตะ 25 ล้านรายเร็วกว่าใคร (เร็วกว่า FACEBOOK/TWITTER ในอดีตมาก) อย่างไรก็ตาม เส้นทางของ GOOGLE+ ยังต้องสู้อีกยาวไกล กว่าจะขึ้นไปทาบรัศมี FACEBOOK ในปัจจุบันได้ 
            ● กลุ่ม บริการโซเชียลเน็ตเวิร์คอื่นๆ มี TWITTER กับ LINKEDIN ที่มีฐานผู้ใช้เยอะที่สุด (แต่ยังห่างกับ FACEBOOK มาก) ส่วนเว็บที่เติบโตเร็วก็อย่างเช่น TUMBLR และ WEIBO ที่มีอัตราการเติบโตเกิน 100% ต่อปี 
            ● เทคโนโลยี มือถือจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนโซเชียลเน็ตเวิร์ค เทคโนโลยีมือถือ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต กำลังเป็นปัจจัยสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ รูปแบบการใช้งาน SOCIAL NETWORK บนมือถือยังเน้นไปที่การอ่าน-อัพเดตสถานะในหมู่เพื่อนๆ และติดตามข่าวสารอื่นๆ ส่วนการเช็คอินข้อมูลสถานที่ยังมีผู้ใช้ไม่เยอะมากนัก รวมไปถึงการหาส่วนลดของบริการร้านค้าต่างๆ 
            SOCIAL NETWORK มีทั้งข้อดี และข้อเสีย ผู้ใช้งานจึงต้องคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อไม่ให้ SOCIAL NETWORK กลายเป็นภัยของสังคม ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว เป็นคนชอบเล่น FACEBOOK และ TWITTER จึงพบเห็นได้ว่ามีบุคคลอื่นซึ่งเราไม่รู้จักเข้ามาดูเป็นจำนวนมาก จึงต้องดูให้ดีก่อนว่า บุคคลนั้นน่าจะคุยด้วยหรือไม่ เพราะเคยเห็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่ามีการหลอกขายบริการทางเพศผ่านทาง HI5 ซึ่งเป็นการใช้ SOCIAL NETWORK ที่ผิดวิธี เพราะฉะนั้นในการใช้งานแต่ละครั้งควรที่จะพิจารณาให้ดีก่อน จะได้ไม่โดนลูกหลงของภัยสังคม ที่น่ากลัวขึ้นทุกวัน 

ข้อดีของ SOCIAL NETWORK 

 สร้าง ความสัมพันธ์ที่ดีจากเพื่อนสู่เพื่อน มีโอกาสได้พบเพื่อนเก่า หรือเพื่อนใหม่ที่มีความสนใจในสิ่งที่คล้ายกัน แลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ในสิ่งที่สนใจร่วมกันได้ 

 เป็น ตัวกลางในการเสนอและแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนความรู้ หรือตั้งคำถามในเรื่องต่างๆ เพื่อให้บุคคลอื่นที่สนใจหรือมีคำตอบได้ช่วยกันตอบ กลายเป็นคลังข้อมูลความรู้ขนาดย่อมได้เลยทีเดียว 

 ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต่อกับคนอื่น สะดวกและรวดเร็วไม่ว่าผู้ใช้งานจะอยู่ที่ใดบนโลกนี้ 

 เป็นสื่อในการนำเสนอผลงานของตัวเอง เช่น งานเขียน รูปภาพ วีดิโอต่างๆ เพื่อให้ผู้อื่นได้เข้ามารับชมและแสดงความคิดเห็น 

 ใช้เป็นสื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือบริการลูกค้าสำหรับบริษัทและองค์กรต่างๆ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า 

 คลายเคลียดได้สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการหาเพื่อนคุยเล่นสนุกๆ 


ข้อเสียของ SOCIAL NETWORK 

 เว็บไซต์ ให้บริการบางแห่งอาจจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป หากผู้ใช้บริการไม่ระมัดระวังในการกรอกข้อมูล อาจถูกผู้ไม่หวังดีนำมาใช้ในทางเสียหาย หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคลได้ 

 SOCIAL NETWORK เป็นสังคมออนไลน์ที่กว้าง ย่อมมีบุคคลที่ไม่หวังดีแฝงตัวอยู่ ดังนั้นหากผู้ใช้รู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือขาดวิจารณญาณ อาจโดนหลอกลวงผ่านอินเทอร์เน็ต หรือการนัดเจอกันเพื่อจุดประสงค์ร้าย ดังที่เป็นข่าวผ่านๆมา 

 แม้ ว่า SOCIAL NETWORK SERVICE จะเป็นสื่อในการเผยแพร่ผลงาน รูปภาพต่างๆ ของเราให้บุคคลอื่นได้ดูและแสดงความคิดเห็น แต่ก็เป็นช่องทางในการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ ขโมยผลงาน หรือถูกแอบอ้างด้วยเช่นกัน 

 จะทำให้เสียเวลาถ้าผู้ใช้ใช้อย่างไร้ประโยชน์ 


            ถึง แม้สังคมไทยเป็นสังคมที่เรียกกันว่า “สังคมแห่งยุคเทคโนโลยี” ซึ่งเราไม่สามารถปฏิเสธที่จะไม่เรียนรู้หรือรับรู้ได้ และเป็นสิ่งที่เราๆจะต้องปรับตัวให้ทันต่อโลกทันต่อเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลา ดังนั้น สังคมออนไลน์ จึงเป็นช่องทางหนึ่งที่สำคัญในการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในชีวิต ประจำวัน ซึ่งผู้ใช้ควรตระหนักและระมัดระวังในด้านต่างๆ เช่น ด้านการใช้ภาษาควรใช้ภาษาที่สุภาพไม่หยาบคาย หรือเสียดสีบุคคลอื่น รู้จักกาลเทศะในการใช้ภาษา และนอกจากนั้นผู้ใช้บริการต้องคำนึงในด้านคุณธรรม จริยธรรม เพราะถ้าผู้ใช้บริการขาดในเรื่องดังกล่าวนี้ถือเป็นการใช้บริการสังคมเครือ ข่ายในทางไม่สร้างสรรค์และเป็นการบ่อนทำลายสังคมออนไลน์

 

 

 

4.บล็อก (BLOG)  คืออะไร

 

 

บล็อก (BLOG)  คืออะไร

บล็อกมาจากการผสมคำ ระหว่าง  WEB ( WOLRD WIDE WEB) +LOG (บันทึก)  = BLOG  คือ เว็บไซต์ที่เจ้าของ หรือ BLOGGER สามารถบันทึกเรื่องราวของตนเองลงในเว็บได้ตลอดเวลา  การสร้างเว็บบล็อกสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง ไม่ซับซ้อน ไม่เสียสตางค์ ไม่จำเป็นต้องรู้ภาษา HTML อย่างน้อยขอให้มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตและเว็บไซต์

ภาย ในเว็บบล็อก จะมีระบบบริหารจัดการเว็บไซต์พื้นฐานให้แล้ว โดยการสร้างเครื่องมือสำหรับ เขียนเรื่อง โพสรูป จัดหมวดหมู่ และลูกเล่นอื่นๆ ที่ผู้จัดทำพยายามสร้างเพื่อดึงดูดผู้คนจากทั่วโลก ให้เข้าไปใช้บริการ เสน่ห์ของบล็อกอยู่ที่ผู้อ่านและผู้เขียนสามารถโต้ตอบกันได้ (INTERACTIVE) โดยการแสดงความคิดเห็นต่อท้ายที่เรื่องนั้นๆ

บางคนมองว่าการเขียน บล็อก ก็คือการเขียนไดอารี่ออนไลน์ แท้ที่จริง ไดอารี่ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบล็อกเท่านั้น คุณเปิดบล็อกขึ้นมาไม่ใช่เพื่อเขียนเรื่องราวในชีวิตประจำวันอย่างเดียว แต่สามารถใส่ความรู้ ประสบการณ์ เพื่อเป็นวิทยาทานให้คนอื่นๆ เช่น คุณหมอ เปิดบล็อกแนะนำเรื่องสุขภาพ เป็นต้น

บล็อก คือ สื่อใหม่ (NEW MEDIA) เป็นปรากฎการณ์ที่เปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารในอดีตอย่างสิ้นเชิง คนเขียนบล็อก สามารถทำหน้าที่เป็นสื่อด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งสื่อสารมวลชน เขาสามารถสื่อสารกันเองในกลุ่มเล็กๆ หรือกลุ่มใหญ่ก็ได้ ถ้าเรื่องไหน เป็นที่ถูกใจ ของชาวบล็อก ชาวเน็ต คนๆ นั้น อาจจะดังได้เพียงชั่วข้ามคืน โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยสื่อหลักช่วยเลย

ลักษณะของสื่อใหม่

  • กลุ่มผู้รับสารจะมีขนาดเล็ก

  • มีลักษณะเป็น INTERACTIVE

  • ผู้ส่งสาอาจไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องรายได้ มีแรงจูงใจด้านอื่น เช่น ความมีชื่อเสียง, ความชอบส่วนตัว

  • เป็นการสื่อสารแบบเปิด ผู้รับ ผู้ส่ง มีความเท่าเทียมกัน

  • เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ หลากหลาย

 

 

5.  ไมโครบล็อก ( MICROBLOG ) 
     

      เป็นบล็อกที่มีการแสดงหัวข้อและความคิดเห็นที่กระชับ กะทัดรัด ผู้ใช้ที่

เป็นสมาชิกสามารถเลือกหัวข้อจากบล็อกอื่นให้มาปรากฏในไมโครบล็อก

ของตนเอง หรือตามสมาชิกอื่นได้ 

 

 

6. วิกิ ( WIKI )

        เป็น รูปแบบการเผยแพร่ข้อมูลที่บุคคลต่างๆ ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญเพาะเรื่อง สามารถมีส่วนร่วมในการเป็นผู้ให้ข้อมูลใหม่ หรือเป็นผู้ปรับปรุงข้อมูลที่มีอยู่เดิมให้ถูกต้อง และสมบูรณ์ยิ่งขึ้น รายละเอียดของข้อมูลที่เผยแพร่ก่อให้เกิดประโยชน์กับบุคคลทั่วไป หรือกลุ่มบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกันในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น ผู้สอนและผู้เรียนสามารถใช้เป็นช่องทางในการสื่อสารข้อมูลที่เกี่ยวกับการ เรียนการสอน องค์กรธุรกิจสามารถใช้เป็นที่รวบรวมเอกสารที่เกี่ยวกับการดำเนินการสำหรับ ให้บุคคลในองค์กรใช้อ้างอิงในการปฏิบัติงาน ผู้ใช้สามารถเรียกดูประวิติการปรับปรุงข้อมูลย้อนหลังได้

 

 

 7. อาร์เอสเอส ( REALLY  SIMPLE  SYNDICATION : RSS )

        
       เป็นเป็นเทคโนโลยีที่ใช้สำหรับเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่

เป็นประจำได้แบบอัตโนมัติ  โดยผู้ใช้ต้องขอรับบริการ  ( SUBSCRIBE ) ผู้ใช้ไม่

ต้องเข้าไปยังเว็บไซต์ที่สนใจต่างๆ โดยตรง  เพื่ออ่านข้อมูลที่ได้รับการ

ปรับปรุงในแต่ละวันด้วยตนเองทีละเว็บไซต์  ซึ่งแต่วะเว็บไซต์อาจมีความถี่

ในการปรับปรุงข้อมูลที่แตกต่างกันไป

 

 

 

8. พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 
 ( ELECTRONIC  COMMERCE  หรือ  E-COMMERCE ) 
 
             เป็นการทำธุรกรรมชื้อขาย  หรือแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการบน

อินเทอร์เน็ต  โดยใช้เว็บไซต์เป็นสื่อในการนำเสนอสินค้าและบริการต่างๆ 

รวมถึงการติดต่อกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย  ทำให้ผู้เข้าใช้บริการจากทุกที่ทุก

ประเทศ  หรือทุกมุมโลกสามารถเข้าถึงร้านค้าได้ง่ายและ ตลอด 24 ชั่วโมง

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น